กาญจนบุรี ทหารฉก.ลาดหญ้า ตชด.ที่ 134 สภ.สังขละบุรีจับลักลอบนำหัวหอมพม่าเข้าประเทศไทย

กาญจนบุรี   ทหารฉก.ลาดหญ้า ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 134 ตำรวจภูธรสังขละบุรี ร่วมจับกุม ผู้ลักลอบนำหัวหอมจากประเทศพม่า เข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก
เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 63 ที่สถานีตำรวจภูธรสังขละบุรี ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า ฝ่ายปกครอง ตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 134 ศุลกากร และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้แจ้งความกล่าวหา นายสมบูรณ์ สังขพิริยะ อายุ 53 ปี ความผิดฐานลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ผ่านพิธีการทางศุล กากรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผิดกฎหมาย และฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี เรื่องระงับการใช้ช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักร ของบุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของ


โดยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอำเภอสังขละบุรีได้จัดประชุมร่วมกัน เรื่องการนำสินค้าจากประเทศเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมีข้อตกลงร่วมกันการนำสินค้าเคลื่อนย้ายภายในประเทศได้มีการสอบถามในที่ประชุมเรื่องการเคลื่อนย้ายหอมแดง ของบริษัทสมบูรณ์รุ่งโรจน์ แจ้งว่ามีสินค้าหัวหอมแดงซึ่งนำเข้ามาจากประเทศเมียนมา จำนวน 50,000 กิโลกรัม ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เข้าตรวจสอบที่โกดัง แจ้งว่ามีสินหัวค้าหอมแดงอยู่ในโกดัง 70,000 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอนุโล ให้เคลื่อนย้ายออกจากคลังให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วัน


ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 บริษัทสมบูรณ์ฯได้ขนย้ายสินค้าหอมแดงผ่านจุดตรวจบ้านน้ำเกริ๊ก 22,000 กิโลกรัม และเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2563 เจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่าบริษัท สมบูรณ์รุงโรจน์ มีการลักลอบนำสินค้าหัวหอมแดงเข้ามาในราชอาณาจักรเก็บไว้ที่โกดังของบริษัท จำนวน 33,000 กิโลกรับอีกจำนวน 33,000 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่จึงได้วางกำลังดักซุ่มดู และเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2563 เวลาประมาณ 05.55 น ได้พบเห็น รถยนต์กระบะ จำนวน ๒ คัน ติดแผ่นป้ายทะเบียนประเทศเมียนมา บรรทุกสิ่งของขับมาจากประเทศเมียนมาเข้าไปในโกดังของบริษัทสมบูรณ์ฯจึงประสานงานเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบพบรถยนต์กระบะ จำนวน 2 คัน อยู่ภายในโกดัง ตรวจสอบภายโกดังพบหอมแดงกองอยู่เป็นจำนวนมาก


นายสมบูรณ์ สังขละพิริยะและน.ส.กิตติมา สังขละพิริยะ บุตรสาวของนายสมบูรณ์ยืนยันว่าหัวหอมแดงดังกล่าวเป็นของตน ได้เสียภาษีผ่านทางศุลกากรถูกต้องเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงส่วนใหญ่จึงได้เดินทางมาตรวจสอบเอกสารที่จุดตรวจบ้านน้ำเกริ๊ก เป็นเหตุให้นายสมบูรณ์ฯ และ น.ส.กิตติมาฯ ให้เจ้าหน้าที่ทหารออกจากโกดังรถนายสมบูรณ์ฯ ได้ขับรถยนต์กระบะ ของกลางนำมาให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่จุดตรวจบ้านน้ำเกริ๊กตำบลหนองลู จำนวน 1 คัน คณะเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายความมั่นคง พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าหัวหอมแดงที่อยู่ในรถของกลางมีที่มา ไม่ถูกต้องเนื่องจากได้มีการเคลื่อนย้ายหัวหอมแดงออกไปจาก โกดังบริษัทสมบูรณ์ฯ แล้ว ประมาณ 66,000 กิโลกรัม แล้วยังเหลืออยู่ที่รถยนต์ของกลางจำนวน 3 คัน น้ำหนักประมาณ9,000กิโลกรัม และหัวหอมแดงยังเก็บกองอยู่ภายในโกดังอีกประมาณ 20,000 กิโลกรัม จึงใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกตรวจยึดไว้นำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจสังขละบุรี เพื่อทำการสอบสวนต่อไป


ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นโกดังของบริษัทสมบูรณ์รุ่งโรจน์ อยู่นั้น ภรรยานายสมบูรณ์ และบุตรสาวของนายสมบูรณ์ ได้เข้าด่าเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้น ด้วยคำหยาบคาย และได้ทำร้ายผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าถ่ายภาพ เสียถามว่าเป็นนักข่าวสำนักไหนและขอดูบัตรผู้สื่อข่าวส่วนภาพที่ถ่ายแล้ว ภรรยาของนายสมบูรณ์ บังคับให้ลบภาพทิ้ง ผู้สื่อข่าวจึงได้ลบภาพบางส่วนทิ่งไป รวมทั้งจะแจ้งความผู้สื่อข่าวในข้อหาบุกรุก


จากการสอบถามเต้าหน้าที่ชุดเข้าตรวจค้น ทราบว่า นายจีรเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ในนามของประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี และผู้กำกับการบริหารราชการในสถาณการณ์ฉุกเฉินจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 5309/ 2563 เรื่อง ระงับการใช้ช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักร ของบุคคล ยายนพาหนะ และสิ่งของ ด่านผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และจุดผ่อนปรนทางการค้าด่านพระเจดีย์สามองค์ ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

1.ระงับการใช้ช่องทางเข้ามาในราชอาณจักรของบุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของ ณ.จุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และจุดผ่อนปร่นทางการค้าด่านพระเจดีย์สามองค์ ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และช่องทางผ่านแดนที่เป็นธรรมชาติ โดยให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่โดยเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 จนถึงวันที่ 4 มกราคม 2564 ในกรณีที่ผู้ประกอบการสั่งสินค้านำเข้า ส่งออก ไว้แล้ว ให้ดำเนินกาส่งสินค้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 23 ธันวาคม 2563 เวลา 17.00 น.

2. เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไป จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสาธารณชน หรือกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณ จึงไม่อาจให้คู่กรณีใช้สิทธิ์โต้แย้ง ตามมาตรา 30 วรรค 2 (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ทั้งนี้ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ โดยไม่มีเหตุอันสมควรจำมีความผิดตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีความผิดตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สั่งณ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563
เกษร เสมจันทร์