นครปฐม คอลัมน์จุดไฟในใจคน เรื่อง-เสียวหลังโดยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม

คอลัมน์จุดไฟในใจคน…พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน)

                         ผัดกะเพราไก่ไข่ดาว ‘ปากคลองตลาด’

                         ปากจัด! ชัดเจน! จริงใจ! ให้เยอะ ขายดี

                         มีเสียวหลัง! ‘อุทาหรณ์สอนไม่ประมาท’

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน คอลัมน์จุดไฟในใจคนฉบับนี้ อาตมามีเรื่องน่าสนใจ นำมาเล่าขาน จากเหตุการณ์เมื่อเร็วๆนี้ อาตมารับกิจนิมนต์ไป กทม.

ปรากฏว่าต้องผ่านแถวๆย่านปากคลองตลาด ประจวบกันเพลานั้นถึงเวลา ฉันเพลพอดี ก็เลยหยุดรถแวะฉัน ในละแวกนั้น

อาตมาเห็นร้านอาหาร ที่อยู่ในซอยเล็กๆโดยบังเอิญ ทางแคบเข้าออกไม่สะดวกนัก จึงให้คนขับรถส่งอาตมาลงเดิน เพื่อไปที่ร้านดังกล่าว

ร้านนี้ชื่อแปลกมากๆ ฟังครั้งเดียวจำได้เลย เพราะชื่อร้านเสียวหลัง เป็นร้านอาหารตามสั่ง ที่กำลังเด่นดังในโลกโซเชียล ร้านอยู่ใกล้โรงเรียนราชินี

ที่สำคัญเป็นร้านเล็กๆ ในซอยเล็กๆ ที่อาจจะดูธรรมดาทั่วไป แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ เมนูกะเพราไก่ไข่ดาว ที่ให้เยอะมาก

 ทั้งเนื้อ ทั้งข้าว ยิ่งมีไข่ดาว ก็ยิ่งเป็นที่น่าสนใจของลูกค้ามากขึ้นอีก

แต่ขายให้กินในราคาเบาๆ รวมเบ็ดเสร็จแค่ 50 บาท เท่านั้นเอง

 เรียกว่าคุ้มค่า คนกินอิ่ม สบายท้องกันไป

อาตมาเห็นป้ายราคาติดไว้ว่า ข้าวกะเพราไก่ ข้าวไก่ทอดกระเทียม 40 บาท  เพิ่มไข่ดาว 48 บาท สั่งน้ำด้วย 50 บาทพอดี

ถามว่าทำไมถึงชื่อร้านเสียวหลัง  ย้อนอดีตร้านเสียวหลัง เปิดขายมากว่า 45 ปี

มีชื่อเสียงเรื่องข้าวผัดกะเพรา เป็นขวัญใจเด็กวัยรุ่นในย่านปากคลองตลาด

ด้วยเริ่มแรกนั้นเป็นร้านเล็กๆ ที่ขายในราคาไม่แพง รสชาติอร่อยแซ่บ

ที่สำคัญยังได้สนุกกับการลุ้นไม่ให้รถเข็นดอกไม้ ผัก ผลไม้ ที่ผ่านไปมาในซอยแคบๆนี้ ทำข้าวของตกลงมาใส่เท้าหรือหลัง

 ในส่วนของเมนูอาหาร ก็มีให้เลือกอยู่เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือข้าวกะเพราไก่และข้าวไก่กระเทียม

ข้าวกะเพราไก่ที่นี่ จะมีการเลือกใช้ไก่ส่วนอกแบบเน้นๆ มีแต่เนื้อ ผัดและปรุงรสอย่างพิถีพิถัน

ที่พิเศษอีกอย่างคือไข่ดาว ทางร้านจะทอดให้ฟูกรอบนุ่ม กินกับกะเพราและข้าวสวยร้อนๆ โยมส่วนใหญ่ที่มานั่งกิน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็ด นี่คือคำบอกเล่าของโยมท่านหนึ่ง ที่นั่งอยู่ในร้าน เล่าให้อาตมาฟัง

 โยมบอกว่าร้านเปิดหกโมงเช้า ปิดห้าโมงเย็น

นี่คือข้อมูลโดยรวมที่ระหว่างอาตมานั่งฉัน โยมก็บรรยายรายละเอียด เชื่อมโยงไปถึงบรรยากาศรอบด้าน

ระหว่างนั้นคนแน่น ลูกค้าเยอะมาก

 แม่ค้าพูดจาเสียงดัง ฟังเหมือนไม่พอใจที่ขายดี
แต่ก็บ่งชี้ถึงความเมตตา มองอยากแววตาแล้ว คงไม่ได้โกรธอะไร มีรอยยิ้มที่อยู่ในแววตาชัดเจน

 เนื่องเพราะคนสั่งเยอะมาก อีกทั้งต้องรอนานมาก คนขายประกาศชัดเจนว่าต้องตามคิว เรียกว่ารอกันเป็นครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ทุกคนล้วนพอใจที่จะรอ

ในเวลานั้นสิ่งที่อาตมาสัมผัสได้คือ ทั้งคนผัด คนรับออเดอร์ คนเสริฟ ล้วนสนุกสนาน ขายกันแบบมีความสุข ไม่เครียด

บางคราวน้ำเสียงฟังเหมือนก้าวร้าว ไม่พอใจ แต่แฝงถึงความจริงใจ และมีเมตตา

น้ำคำตรงไปตรงมา น่ารัก ดูดีมีเอกลักษณ์ นับเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่งของคนค้าขายอาหาร ที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง

ในหัวใจคงไว้ด้วยคุณภาพ ขยัน ซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา อดทน และรู้บุญคุณลูกค้าอย่างเต็มเปี่ยม

นี่คือคุณสมบัติที่อาตมามองเห็น และเชื่อว่าญาติโยมทั้งหลายที่เคยมาร้านนี้ น่าจะมีมุมมอง และระบบคิดที่ใกล้เคียงกับอาตมา

ส่วนชื่อร้านเสียวหลังนั้น อาตมามองว่าเป็นคำสอน ที่ย้ำเตือนว่าไม่ควรประมาท

สำหรับคนเรานั้น การดำเนินชีวิตสำคัญมาก ต้องมีความระมัดระวัง มีสติเตือนตนตลอดเวลา ถ้าจะทำอะไร ก็ไม่ผิดพลาด ไม่เจ็บตัว ไม่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ต้องไปเสียเวลา ไปหาหมอ เสียเงินเสียทอง เสียเวลาทำมาหากิน

ชีวิตก็ไม่วุ่นวาย มีแต่ความสุข ความเจริญ

ในมุมคิดของอาตมา ความไม่ประมาท คือการมีสติกำกับตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำสิ่งใดๆ ไม่ยอมถลำลงไปในทางที่เสื่อม

ไม่ยอมพลาดโอกาสในการทำความดี ตระหนักดีถึงสิ่งที่ต้องทำ ถึงกรรมที่ต้องเว้น ใส่ใจสำนึกอยู่เสมอในหน้าที่ ไม่ปล่อยปละละเลย กระทำอย่างจริงจังและดำเนินรุดหน้าตลอดเวลา

           ความไม่ประมาทเป็นคุณธรรมที่สำคัญยิ่ง

ดังจะเห็นได้จากปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ

           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจะเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

                คำว่า ธรรม ในที่นี้หมายถึง คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาแปลเอาความท่านแปลว่าเหตุ  หมายถึงต้นเหตุ

ข้อธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกข้อ ถ้าดูให้ดีแล้วล้วนแต่เป็นคำบอกเหตุทั้งสิ้นคือ บอกว่าถ้าทำเหตุอย่างนี้แล้ว จะเกิดผลอย่างนั้น เช่น ความขยันหมั่นเพียรเป็นเหตุให้เกิดความเจริญ ความเกียจคร้านเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม

           ดังนั้นไม่ประมาทในธรรม จึงหมายถึง ไม่ประมาทในเหตุ ให้มีสติรอบคอบ  ตั้งใจทำเหตุที่ดีอย่างเต็มที่  เพื่อให้บังเกิดผลดีตามมานั่นเอง

ส่วนผู้ที่ยังประมาทอยู่ คือพวกไม่ทำเหตุดีแต่จะเอาผลดี พวกทำเหตุเลวแต่จะเอาผลดี พวกทำเหตุน้อยแต่จะเอาผลมาก

ส่วนผู้ไม่ประมาทในธรรม  มีคุณสมบัติตรงข้ามคือจะต้องไม่เป็นคนดูเบาในการทำเหตุ ต้องทำแต่เหตุที่ดี ทำให้เต็มที่ และทำให้สมผล

ฉะนั้นผู้ที่ไม่ประมาททุกคนจะต้องมีสติอยู่เสมอ

เนื่องเพราะสติ คือความระลึกนึกได้ถึงความผิด ชอบ ชั่ว ดี เป็นสิ่งกระตุ้น เตือนให้คิดพูดทำในสิ่งที่ถูกต้อง

 ทำให้ไม่ลืมตัว  ไม่เผลอตัว  ใช้ปัญญาพิจารณา ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ได้

           ธรรมชาติของจิตมีการนึกคิดตลอดเวลา การนึกคิดนี้ถ้าไม่มีสติกำกับ ก็จะกลายเป็นความคิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีสติกำกับแล้ว จะทำให้ไม่เผลอ ควบคุมความนึกคิดได้ ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไป ไม่ปล่อยอารมณ์ให้เป็นไปตามสิ่งที่มากระทบนั่นเอง

ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย อปฺปมาโท อมตํ ปทํ

ความไม่ประมาท เป็นทางอมตะ

เวลาใด บัณฑิตกันความประมาทด้วยความไม่ประมาท เมื่อนั้น เขานับว่าได้ขึ้นสู่ปราสาท คือปัญญา ไร้ความเศร้าโศก สามารถมองเห็นประชาชนผู้โง่เขลา ผู้ยังต้องเศร้าโศกอยู่

เสมือนคนยืนอยู่บนยอดเขา มองลงมาเห็นฝูงชน ที่ยืนอยู่บนพื้นดินฉะนั้น

                                                                                ขอเจริญพร

                                      ………………………………..