เจ้าหน้าที่สนธิกำลังร่วมเข้าตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน ในพื้นที่อำเภอสิเกา

เจ้าหน้าที่สนธิกำลังร่วมเข้าตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน ในพื้นที่อำเภอสิเกา ซึ่งเป็นของอดีตนักการเมือง ฝนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำการก่อสร้างท่าเรือและขยายถนน ซึ่งมีการลุกล้ำป่าชายเลน
นายไมตรี แสงอริยนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ 10 จังหวัดตรัง พร้อมด้วย พ.อ.พิชิต โชติแก้ว รองผอ..รมน. ตรัง(ทหาร) ,ชุดสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 4 (ภาคใต้) ,สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) , ชุดปฏิบัติการฉลามขาว , เจ้าหน้าที่เจ้าท่าภูมิภาค สาขาตรัง , อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ,ชุดป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สิเกา และฝ่ายปกครองอำเภอสิเกา สนธิกำลังรวมอีกหลายฝ่าย รวมกำลังประมาณ 50 นาย ลงพื้นที่หมู่ 6 บ้านทุ่งขี้เหล็ก ต.เขาไม้แก้ว อ.สิเกา จ.ตรัง เพื่อตรวจวัดถนนหินคลุก ขนาดกว้างประมาณ 15 เมตร ที่มีการขยายจากถนนเดิมกว้างเพียง 6 เมตร ที่ตัดผ่านพื้นที่ป่าชายเลนระยะทางประมาณ 1.35 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางถนนทางเข้าท่าเรือส่งออกขนาดใหญ่ซึ่งเป็นของอดีตนักการเมืองรายใหญ่ในพื้นที่จ.สุราษฎร์ธานี

โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการรังวัด และจับค่าพิกัดจีพีเอส ทั้งนี้พบว่าถนนเส้นทางดังกล่าวนี้ไม่ได้ขออนุญาตจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่มีการอนุญาตให้ทำการก่อสร้างโดยนายพีระพนธ์ ลังเมือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2559n โดยอนุญาตให้ก่อสร้างปรับปรุงถนนสายช่องราโพธิ์ – ทุ่งขี้เหล็ก-ถนนต้นม่วง กว้าง 12 เมตร ยาว 2,779 เมตร แต่เมื่อทำจริงกว้าง 15 เมตร เนื่องจากใช้สำหรับการปักเสาพาดสายไฟตลอดแนวถนนสายดังกล่าวจนถึงท่าเรือด้วย แต่เป็นการบุกรุกป่าชายเลนเป็นระยะทาง 1.35 กม. คิดเป็นเนื้อที่ 17 ไร่ 1 งาน 60.5 ตารางวา ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดและจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งกับเอกชนอดีตนักการเมืองใหญ่ชาวจ.สุราษฎร์ธานีรายดังกล่าว รวมทั้งนายพีระพนธ์ ลังเมือง นายก อบต.เขาไม้แก้วด้วย ซึ่งจะถูกตั้งข้อหาร่วมกันทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งนี้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสนธิกำลังเข้าไปตรวจสอบ ทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อประสานไปยังนายกอบต.เขาไม้แก้วคนดังกล่าว เพื่อให้มาร่วมให้ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ แต่ถูกนายพีระพนธ์ ปฏิเสธอ้างว่า ไม่มีหนังสือมา ไม่ให้ความร่วมมือ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำหนังสือไปให้ที่ อบต.ปรากฏว่านายพีระพนธ์ ไม่อยู่ จึงได้ส่งหนังสือกับเจ้าหน้าที่ อบต. โดยนายพีระพนธ์ไม่ได้ตามเข้าร่วมให้ข้อมูลแต่ประการใด
จากนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้เดินทางต่อไปยังบริเวณสถานที่ก่อสร้างท่าเทียบเรือขนส่งแร่ยิบซั่มเพื่อการส่งออก และมีการขุดดินจากลำคลองขึ้นมาถมเต็มบริเวณพื้นที่ท่าเทียบเรือ ซึ่งมีการปิดป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้าก่อนได้รับอนุญาต และปิดประตูรั้วไว้ โดยไม่มีคนงานทำงานแม้แต่คนเดียว โดยเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ต้องงัดคำสั่ง คสช.ให้ผู้จัดการ ซึ่งเป็นตัวแทนของเอกชนรายเดียวกันดังกล่าวเป็นคนรับทราบคำสั่ง และยอมเปิดประตูให้เข้าไปตรวจสอบภายใน ทั้งนี้ พบว่าท่าเรือดังกล่าวเป็นของเอกชน หรืออดีตนักการเมืองใหญ่ชาว จ.สุราษฎร์ธานีเช่นกัน อ้างสิทธิ์การก่อสร้างตามเอกสาร น.ส.3 ก.เลขที่ 495เนื้อที่รวม 71 – 3 -99 ตารางวา ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่สัมปทานหลุมถ่านเก่า จากนั้นได้แปรเปลี่ยนมาเป็นบ่อกุ้ง และคนครอบครองเดิมได้ขายต่อมาให้คนปัจจุบันคือ บริษัท ปัญจะพัฒนาวิศวกรรมและพาณิชย์การ จำกัด เป็นผู้ครอบครอง ทั้งนี้ พบว่ามีการขุดดินโคลนจากลำคลองสาธารณะมาถมปรับพื้นที่ด้วย แต่ขณะที่เข้าไปตรวจสอบพบว่ามีการหยุดทำงาน และคนงานหายหมด คงเหลือคนดูแลเท่านั้น แต่เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าที่ดินดังกล่าวเกือบทั้งหมดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ – ป่าคลองกะลาเส – ป่าคลองไม้ตาย และบางส่วนเป็นพื้นที่ป่าชายเลน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเดินตรวจจับพิกัด GPS รอบแปลง และใช้โดรนบินสำรวจ เพื่อนำไปตรวจสอบกับพื้นที่ครอบครองจริงตามเอกสาร น.ส.3 ก.ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีการทำประโยชน์ประโยชน์ จำนวน 66 ไร่ ยังไม่เกินพื้นที่ครอบครอง แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องนำข้อมูลที่ได้ไปแปรภาพถ่ายทางอากาศ และตรวจสอบกับสาระบบที่ดินถึงที่มาของเอกสารสิทธิ์ฉบับดังกล่าวด้วยว่าได้มาอย่างไร เนื่องจากเบื้องต้นเป็นพื้นที่ป่าไม่น่าจะมีการขอออกเอกสารสิทธิ์ได้ นอกจากนั้นในส่วนของการก่อสร้างท่าเรือ ทางเจ้าหน้าที่เจ้าท่าภูมิภาค สาขาตรัง ชี้แจงว่าได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบผลกระทบสิ่งล่วงล้ำลำน้ำแล้ว โดยมีการขออนุญาตขุดลอกร่องน้ำ และขอก่อสร้างท่าเทียบเรือขนาด 500 ตันกรอส แต่ในการก่อสร้างจริงทางเอกชนได้ขออนุญาตสร้างในพื้นที่เอกสารสิทธิ์ โดยไม่ให้รุกล้ำลำน้ำ ซึ่งการก่อสร้างท่าเรือขนาด 500 ตันกรอส ไม่ต้องทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และรุกล้ำลงไปในลำน้ำหรือไม่ จะต้องมีการสอบแนวเขตให้ชัดเจนต่อไปว่าสร้างจริงตามขนาดที่แจ้งหรือไม่ และทางเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบที่มาของเอกสารสิทธิ์ด้วยว่าได้มาโดยชอบหรือไม่
มนต์เจริญ ศรีมงคล จ.ตรัง