หลวงพี่น้ำฝน ให้ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ พี่น้องตายต่อติดๆคิดว่าเป็นอาเพศไหม

พี่น้องตายต่อติด ๆ คิดว่าเป็นอาเพศไหม

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน อันที่จริงมนุษย์เรานั้นมีกฎเหล็กที่ไม่มีผู้ใดเลี่ยงได้ คือ “เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย” โดยทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องมีแก่ เจ็บ และตายตามมาอย่างไม่มีข้อยกเว้น และโดยทั่วไปก็เลือกไม่ได้ด้วยว่าจะแก่ จะเจ็บ จะตายเมื่อไร ทุกคนแก่อยู่แล้ว และจู่ ๆ ก็เจ็บป่วย แล้วก็ตายจากโลกนี้ไป

แต่ในความเป็นจริงคนจำนวนมากไม่อยากแก่ ทุกคนไม่อยากเจ็บ และส่วนใหญ่ไม่อยากตาย จริง ๆ ก็ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เราเกิดมา ก็คือเกิดแล้ว บุญกรรมนำมาให้มาปฏิสนธิ จนแม่คลอดเราออกมา เติบโตจนเริ่มจำความได้ ดำเนินชีวิตเรื่อยไป พอเริ่มมีริ้วรอยหน่อยก็ต้องไปเติมให้มันตึงมันฟิต พึ่งพามีดหมอกันบ้าง หาวิธีชะลอวัยต่าง ๆ นานา เพื่อไม่ให้ดูแก่ ดูโทรม ดูดีตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีในแง่ว่าคนเรารู้จักดูแลตัวเอง เพราะการทำให้ตัวเองดูดีมันก็ตรงตามสำนวนไทย ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ความงามทำให้รู้สึกดูสดชื่นรื่นเริงใจ ดูแลตัวเองให้ดูมีสุขภาพดี มีกำลังวังชาจะทำสิ่งต่าง ๆ (ที่เป็นประโยชน์) แต่บางคนก็ถึงกับเสพติดความสวยงาม ยึดติดกับความสวยงามจนเกินพอดี จนสุดท้ายแล้วกลายเป็นว่า หน้าเน่า จมูกเฟะ หรือถึงจะฉีดจะทำขนาดไหน พอถึงจุดหนึ่งมันก็เอาชนะความแก่ตามธรรมชาติไปไม่ได้ ไอ้ที่ฉีดที่โบ๊ะก็คลายออก อันนี้ก็เป็นเรื่องพึงระวัง

คนเราไม่อยากเจ็บป่วย เพราะการเจ็บป่วยคืออุปสรรคในชีวิต ทำให้เกิดทุกข์ทรมานและเสียเวลาทำมาหากิน สุขภาพกายเสื่อมแล้ว สุขภาพจิตก็เสื่อมตามไปด้วย เราจึงต้องดูแลสุขภาพของเราเพื่อรักษาร่างกายของเราให้แข็งแรง มีกำลังจะทำประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ แต่เมื่อวันหนึ่งที่ความแก่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะป้องกันขนาดไหนก็ต้องเจอสักโรคหนึ่งถามหา ทั้งหัวใจ เบาหวาน ความดัน ไต เข่าเสื่อม กระดูกพรุน สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ ต้องโดนสักอวัยวะหนึ่งนั่นแหละ หนีไม่พ้น ยิ่งสมัยนี้คนอายุยืนมากขึ้น ก็พบความเจ็บป่วยยามแก่กันมากขึ้นด้วยเช่นกัน นั่นก็เป็นสัจธรรมอีกนั่นแหละ

คนเราไม่อยากตาย พุทธศาสนาสอนคนตั้งแต่ยังเป็นเด็กเป็นเล็กว่า คนเราอยู่ในวัฏจักรเกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา จะตายเมื่อไรไม่รู้ได้ แต่พอพูดถึงความตาย กลายเป็นของอัปมงคล บางคนได้ยินได้ฟังไม่ได้ แสลงหู บางคนพอถึงจุดใกล้ตาย หรือคนที่รักถึงจุดใกล้ตาย ก็ต่อสู้ดิ้นรนต่าง ๆ ไม่ให้ตาย อาจจะมีห่วง มีความปรารถนาที่ยังไม่สำเร็จ ทั้งที่บางครั้งเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ หรือไม่ได้มีประโยชน์เพียงพอจะยื้อชีวิต รังแต่จะเกิดความทุกขเวทนามากขึ้นไปอีก หรือไม่ก็หากเกิดความตายที่ดูแล้วผิดธรรมชาติไป ก็ต้องถามหาอาถรรพณ์ต่าง ๆ อาเพศนานา เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตผิดธรรมชาติ

เช่น มีโยมสองคน เป็นพี่น้องกัน อายุไล่ ๆ กัน มาที่วัดไผ่ล้อม มาไหว้พระนี่แหละ พอกลับไปไม่นาน ทั้งสองคนเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน ทีนี้ ชาวบ้านชาวช่อง ก็พากันซุบซิบว่า นี่มันอาเพศอะไร ทั้งสองคนนี้ไปวัดไผ่ล้อมมา พอกลับมาก็ตายไล่ ๆ กัน มันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นอาเพศเป็นภัยอะไรหรือไม่

อาตมาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันจะต้องเป็นอาเพศด้วย ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่แสนจะปกติมาก ความตายของคนเนี่ย การจับเหตุการณ์มาโยงกันนั่นแหละ ที่ทำให้มันไม่ปกติ

คนเราจะตายเมื่อไรที่ไหนก็ได้โดยไม่อาจเลือกได้ คนเราจะตายก็ต่อเมื่อถึงที่ตาย อย่างที่มีคนแต่งกลอนขำขันไว้ว่า “คนไม่ถึงคราวตายวายชีวาตม์ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ คนจะถึงคราวตายวายชีวัน ไม้จิ้มฟัน แทงเหงือกยังเสือกตาย” จริง ๆ มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ แหละ คนเราถ้าไม่ถึงคราวตาย ทำอย่างไรก็ไม่ตาย ถึงคราวตายเมื่อไร เดินสะดุดยอดหญ้าก็ตาย อยู่ดี ๆ เจอกระสุนปืนจากไหนไม่รู้ทะลุอกเข้าหัวใจไปข้างหลัง ตายไม่ทันตั้งตัว

หรือเมื่อหลายเดือนก่อน เขาเอาคนไปลงยานดำน้ำ ไปใต้ทะเลลึก ลึกสามกิโลกว่า ยานทนแรงอัดของน้ำทะเลลึกไม่ได้ ยานโดนอัดก็อปปี้ในเวลาเสี้ยววินาที ส่วนคนในยานนั้นตายไม่รู้ตัวเลย เละแหลกไวกว่าสมองจะตอบสนองเสียอีก คนก็ถามหาอาถรรพณ์เหมือนกัน เพราะว่ายานนี้เขาลงไปดูซากเรือไททานิค เป็นซากเรือล่มที่ดังที่สุดในโลก แล้วยานก็ชื่อเดียวกับเรือ คนก็ร่ำลือกันไป เหมือนกับที่เรือไททานิคล่ม มันก็มีคนร่ำลือว่า เอ๊ะ นี่มันอาถรรพณ์ร่างมัมมี่ที่ขนมากับเรือหรือเปล่า มัมมี่บันดาลให้เรือชนภูเขาน้ำแข็งจนล่มหรือเปล่า เขาลือกันแบบนั้น อาตมาไม่รู้ว่าจริงเท็จไหมในเรื่องนี้ ได้แต่อ่านเจอคนเขาเขียน อาตมารู้แต่ว่าคนเราพอถึงคราวตาย มันก็ต้องตาย ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม มันเป็นจริงยิ่งกว่าอาถรรพณ์

ฉะนั้น ก็ไม่ควรเป็นเรื่องแปลกอะไรกับเรื่องพี่น้องเสียชีวิตไล่เลี่ยกันหลังกลับมาจากวัด ในเมื่อความตายโดยปกติมันเลือกวันเวลาและรูปแบบไม่ได้ การเสียชีวิตไล่เลี่ยกันดังนี้ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อันนี้คือสัจธรรม

เมื่อคนเราโดยทั่วไปเลือกวันเวลา สถานที่ และรูปแบบการตายไม่ได้ ก็หมายความว่าคนเราพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อเมื่อถึงคราวต้องตาย อย่างคนเราเกิดมาแล้ว ก็แก่แล้ว แก่ตั้งแต่วันแรกที่ปฏิสนธิแล้ว แก่แล้วแล้วก็ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บแล้ว แล้วความตายล่ะ เรายังจะหนีมันพ้นหรือ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่พ้น แต่คนจำนวนมากก็ไม่รู้จักการรับมือกับมัน หรือเรียกว่า ไม่รู้จักเตรียมตัวตาย

ข่าวดี การเตรียมตัวตายเป็นสิ่งที่ดี สามารถทำได้ทันที ยิ่งเร็วยิ่งดี ทำได้ด้วยตนเอง

ข่าวร้าย คนเรามีโอกาสตายได้ตลอดเวลาแม้แต่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

ก็ขอให้คิดเอาว่า แทนที่ว่าเราจะมาโจษจันกับอะไรไม่เข้าเรื่อง กับเรื่องที่มันเป็นปกติอยู่แล้ว เราควรจะทำให้ความตายเป็นปกติในชีวิต กับชีวิตที่พร้อมจะตายได้ทุกเวลาได้หรือไม่ ขอให้ทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมตามพระปัจฉิมโอวาทเถิด

ขอเจริญพร