หลวงพี่น้ำฝน ให้ธรรมะ ยิ่งมีวิกฤต ยิ่งต้องอย่าเห็นแก่ตัว

ยิ่งมีวิกฤต ยิ่งต้องอย่าเห็นแก่ตัว

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ในขณะที่อาตมาเขียนต้นฉบับจุดไฟในใจคนฉบับนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ที่อาตมาอยู่คือจังหวัดนครปฐม แต่การกระจายของผู้ติดเชื้อไปทั่วประเทศนั้นก็ทำให้ผู้คนได้รับผลกระทบไปทั่วประเทศ มีคำสั่งของทางการให้ปิดสถานที่บางแห่งเป็นการชั่วคราว หรือหากยังเปิดอยู่ก็มีผู้มาใช้บริการน้อยลง ถนนหนทางดูเงียบไปหมด ผู้ประกอบการต่าง ๆ ล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า มีรายได้น้อยลงไปมาก ในขณะที่ต้นทุนสำหรับเปิดร้านในแต่ละวันก็ยังใกล้เคียงกับปกติ

วัดก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เพราะสมัยนี้อาตมาก็ต้องพูดตรง ๆ ตรงไปตรงมาเลยว่าวัดก็ต้องพึ่งพาโยม เช่นเดียวกับที่โยมพึ่งพาวัด วัดต้องพึ่งพาปัจจัยต่าง ๆ จากศรัทธาสาธุชนเพื่อเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายรายวัน รายเดือน ซึ่งรวมกันแล้วเดือนหนึ่งไม่ใช่น้อย ๆ และเกี่ยวข้องกับบุคคลอีกหลายคนทั้งพระ และศิษย์วัด พอโรคระบาดรุนแรงขึ้น ผู้คนไม่ออกไปไหน ไม่เข้ามาวัด นั่นหมายถึงผลกระทบที่จะเกิดแก่บุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดไปด้วย

เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ต่างคนก็ต่างมีวิธีจัดการที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับอาตมาซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ต้องบริหารจัดการวัด ดูแลทุกข์สุขของพระสงฆ์สามเณรในวัด และศิษย์วัดแล้ว และโดยเฉพาะศิษย์วัดนั้น อาตมาไม่อยากไล่ใครออกเลย ถ้าก่อนโควิดมีกันสิบคน พอโควิดพ้นไปก็อยากให้ครบสิบคน อาตมาอยากให้ทุกคนมีงานทำ มีรายได้ไว้จุนเจือครอบครัวของตน มีโอกาสได้อบรมบ่มนิสัยฝึกตนผ่านการทำงานกับอาตมา แต่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ อาตมาก็ขอความร่วมมือจากศิษย์วัดทุกคน ว่าขอลดเงินเดือน และขอให้ทำงานให้เต็มที่ เพื่อที่เราจะผ่านพ้นสถานการณ์เหล่านี้ไปด้วยกัน เราจะรอดไปด้วยกัน รอดไปทั้งวัด นี่คือความตั้งใจและความฝันของอาตมาในฐานะเจ้าอาวาส ในฐานะหัวเรือของวัดไผ่ล้อมที่จะผ่านมรสุมโควิดนี้ไปให้ได้

ญาติโยมผู้อ่าน…วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ท่านว่ามันเป็นเครื่องเผยธาตุแท้น้ำใจคน เพราะธรรมดาของมนุษย์นั้นคือการเอาตัวรอด เอาตัวเองหนึ่งคนให้รอด แต่ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นคือ เมื่อมีวิกฤต ทุกคนคิดเหมือนกัน ทุกคนจะเอาตัวรอดเหมือนกัน เหมือนฝูงชนที่จมน้ำพร้อมสัมภาระต่าง ๆ ที่ตนเองมี ใครต่อใครไม่รู้ต่างเอามือควานหากัน แล้วก็เกาะคนข้าง ๆ พอเกาะด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดก็พลอยกดเอาคนที่เราเกาะนั้นจมน้ำไป สรุปว่าคนนั้นจมน้ำตาย บางคนก็ไล่ไม่ให้ใครมาเกาะเลย กลัวว่าพวกนั้นจะมาดึงมาทึ้งตัวเองจมไปอีกคน

แต่บางคนมีสติ มีความรู้ ก็ค่อย ๆ ช่วยเหลือตามกำลังที่มี ตามความรู้ที่ทำได้ คนที่ช่วยเหลือไม่เป็น แต่มีสติก็ถอด ปลดเปลื้องสัมภาระทิ้งไป ทำตัวให้เบาแล้วก็รักษาตัวไว้ หรือช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังแรงกำลังความรู้

เราจะเห็นได้ว่า ในวิกฤตดังนี้แหละที่จะสำแดงว่าชาวโลกมีหลายประเภท ประเภทแรก ๆ ที่ตะเกียกตะกายอย่างไร้สติ ก็มักจะพาทั้งตัวเองและคนรอบข้างจมน้ำไปด้วย แต่กลับกัน ประเภทหลัง ๆ คนที่มีสติ ก็จะสามารถรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ไปได้ และนอกจากสติแล้ว สิ่งที่ต้องมี คือ ความไม่เห็นแก่ตัว

ความเห็นแก่ตัวคือปลาร้ายที่จะทำให้สรรพชีวิตในห้วงน้ำลึกต้องตายไปในวิกฤต อุปมาเหมือนไก่หลายตัวอยู่ในสุ่มเดียวกัน สุดท้ายก็จิกตีกันจนบาดเจ็บกันไปทั้งหมด เพราะตัวเองไม่ยอมให้ใครอยู่ร่วมสุ่ม แต่สำหรับวิกฤตการณ์ในสังคมมนุษย์ มนุษย์ไม่ใช่ไก่ มนุษย์คือมนุษย์ เป็นสัตว์สังคม แต่พอถึงเวลาคับขันก็มักกลายเป็นไก่ในสุ่มพร้อมกับไก่อีกหลายตัว แน่นอนแหละว่าความเห็นแก่ตัวคือเรื่องปกติของมนุษย์ปุถุชน ไม่มีใครที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย แต่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะลดความเห็นแก่ตัวลงไป จากมากจนเหลือน้อย จากน้อยจนย้อยกว่าที่เป็น เพราะความไม่เห็นแก่ตัวนั้นทำให้เรารอดไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่รอดหนึ่ง แต่รอดเป็นหมู่คณะ รอดเป็นทีม รอดไปด้วยกัน เราต้องพึ่งพาอาศัยกัน ในท้องน้ำแห่งวิกฤตนั้น ถ้าทุกคนไม่เห็นแก่ตัว คนที่แข็งแรงกว่าช่วยคนที่อ่อนแอกว่า คนที่รอรับความช่วยเหลือไม่ทำตนให้เป็นภาระแก่ผู้ช่วยเหลือ นั่นคือการเสียสละเพื่อส่วนรวมแล้ว การเสียสละ ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการเห็นแก่ตัวนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่อะไร ไม่จำเป็นต้องเป็นวีรกรรมให้โลกจำ เพียงแต่การไม่ทำตนให้เป็นภาระของผู้อื่น นั่นแหละการเสียสละ ลดละความเห็นแก่ตัวแล้ว และยิ่งเราช่วยเหลือผู้อื่นโดยที่ไม่ก่อปัญหาเพิ่มเติม ก็ยิ่งเป็นการเสียสละที่มากขึ้นไปด้วย

ฉะนั้นแล้ว ญาติโยมทั้งหลาย ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ อย่าเห็นแก่ตัวกันเลย เพื่อที่เราจะได้รอดกันไปด้วยกันทั้งหมด ในภาวะที่ทุกคนสะบักสะบอมกับสารพัดปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะจบลงได้เมื่อใด การช่วยเหลือกันและกัน การเสียสละเพื่อส่วนรวม คือหัวใจของการแก้ไขปัญหา ฟันฝ่าไปด้วยกัน การเสียสละ ช่วยเหลือผู้อื่นไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินมากมาย แค่คนเข็ญใจมีปลาทูสองตัวกินเกินอิ่ม แบ่งปลาทูให้คนไม่มีอีกตัวหนึ่งอิ่มท้องได้ก็ถือว่าเป็นการเสียสละอย่างยิ่ง เป็นคุณค่าแห่งการเสียสละ เราช่วยเหลือกันและกันตามกำลังของเรา เรือที่กำลังจมนั้น ถ้าทุกคนตะเกียกตะกายกันก็ตายหมด แต่ถ้าแบ่งกันทำงาน คนว่ายน้ำช่วยชีวิตคนได้เป็นก็ช่วยดูแลคนในน้ำ ใครจุดพลุไฟได้ก็ช่วยจุด ใครนำทางได้ก็ช่วยดู ใครทำอะไรไม่เป็นเลยก็พยุงตัวเองให้รอดและไม่เพิ่มภาระให้แก่เพื่อน ช่วยกัน เสียสละ ยอมลำบากสักนิดเพื่อพาทุกคนรอด อันนี้จะเป็นความงดงามในยามวิกฤต และที่ผ่านมาหนึ่งปีกับโควิดนั้น เราก็ได้เห็นคนทุกประเภทในสังคม คนที่โวยวายอย่างเดียว ด่าอย่างเดียว กักตุนโก่งราคาสินค้า ไปจนถึงคนที่ช่วยกันทำถุงยังชีพ แจกถุงยังชีพ แจกเจลล้างมือ แจกหน้ากากอนามัย วิญญูชนผู้มีสติปัญญาน่าจะมองเห็นได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีงามกว่ากัน

อย่าให้วิกฤตเผยความเห็นแก่ตัวของเรา แต่อาตมาปรารถนาความงามของความเป็นมนุษย์ได้เผยออกมา ความงามในที่นี้คือ จิตใจที่เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมช่วยเหลือเกื้อกูลแก่คนรอบข้าง นี่คือสิ่งที่มนุษย์ผู้มีความเจริญนั้นมี ขอเจริญพร